เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อให้หัวใจมันอ่อนโยนไง หัวใจมันแข็งกระด้าง เวลาว่าเราอ่อนโยน อ่อนโยนนี้เป็นมารยาทสังคม เรามีมารยาทของเรา เราว่าเราอ่อนโยนของเรา แต่จะอ่อนโยนจะแข็งกระด้างขนาดไหน อวิชชาในหัวใจมันไม่ฟังใครหรอก ผู้ที่ปฏิบัติกลัวตรงนี้มาก หลวงตาท่านบอกนะ ถ้าเจอกิเลส เวลาฉันข้าวอยู่ ผลักออกเลย ไหน กิเลสอยู่ไหน เอามันก่อนๆ เพราะมันทำเจ็บแสบ กิเลสมันทำเราเจ็บแสบมากนะ มันทำให้หัวใจอยู่ในอาณัติของมัน

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมามหาศาลๆ ก็เพื่อความเข้มแข็ง คำว่า “บารมีๆ” จิตใจมันคิดแตกต่าง ทางโลกเขาบอกว่าคิดนอกกรอบๆ ถ้าคิดนอกกรอบ คิดนอกกรอบแล้วเอาอะไรมาคิดล่ะ เวลาคิดนอกกรอบ เวลาสนทนาธรรมกัน ทุกคนมีความรู้ไปหมดแหละ ก็อ้างพุทธพจน์ๆ ใครก็อ้างพุทธพจน์ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป ถ้าเรามีสัจจะมีความจริงในหัวใจ เวลาเราสนทนาธรรมกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ให้มันจบสิ้นกันไปนะ

เวลาเอ็งมีความเห็นอย่างนั้นก็พระพุทธเจ้าของเอ็ง ถ้าเรามีสัจจะความจริงในหัวใจก็เป็นพระพุทธเจ้าของเรา ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าของเรา สัจจะความจริงอันนี้เป็นพระพุทธเจ้าของเรา แต่จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้ามีหนึ่งเดียว ถ้าใครเข้าสู่อริยสัจมันก็อันเดียวกันนั่นล่ะ คำว่า “อันเดียวกัน” แต่คนหนึ่งเห็นความจริง อีกคนหนึ่งเห็นความจอมปลอม คนเห็นความจริงๆ ก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ไอ้ความจอมปลอม จอมปลอมมันเป็นมารยาสาไถย พอมารยาสาไถย ดูตรรกะ มันอธิบายได้ปากเปียกปากแฉะ แต่มันไม่เคยได้สัมผัสธรรมอันนั้นเลย มันไม่ได้สัมผัสเลย ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นมิจฉาซะ เป็นสมาธิก็ว่าว่างๆ นั่งสัปหงกโงกง่วงกันก็บอกว่าเป็นสมาธิ ไอ้คนที่เป็นสมาธิเขานั่งแล้วเขามีความร่มเย็นเป็นสุขของเขา เขานั่งแล้วเขามีสัจธรรมในหัวใจของเขา เขาบอกว่าอันนั้นมันทรมาน มันทำแล้วมันทุกข์มันยาก อันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าเรานั่งหลับอย่างนี้ เออ! อันนี้เป็นสัมมาสมาธิ

นี่ไง ถ้าพระพุทธเจ้าคนละองค์มันคนละองค์อย่างนี้ไง คนละองค์เพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจอันนั้นไง ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจอันนั้น “เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นวัฒนธรรมแล้วแหละ ทำไมต้องศึกษา ตั้งแต่เด็กน้อยได้ยินมาตลอดแล้ว นิพพานเป็นเมืองแก้ว นิพพานเป็นความว่าง นิพพานเป็นความสุขความสงบ นิพพาน” จนพูดถึงว่าคนไม่กล้าไปกัน คนไม่ไปนิพพานนะ เพราะว่าเวลาสังคมเขาเสียดสีกัน เขาบอกเขาไม่ไปหรอกนิพพาน มันจืดชืด เขาอยากอยู่กับโลกนี้ เขาจะอยู่ในความสุขอย่างนี้ เขาจะมีความพอใจของเขาอย่างนี้...ไอ้นั่นมันความเห็นของเขา

แต่เวลาคนประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เห็นไหม วันนี้วันพระ วันพระวันโกนเราไปวัดไปวากันนะ ไปวัดไปวาเพราะว่าเราจะไปค้นหาสัจจะความจริงในใจของเรา เวลาไปวัด ไปวัดไปทำไม ไปวัด ตอนนี้โรงแรมเขาสร้างสวยกว่าวัดอีก โรงแรมเขาสร้างดีกว่าวัดอีก ก็ไปโรงแรมก็ได้ โรงแรมมีสปา เขาเอาใจด้วย นั่งสมาธิ เขาจะเอาสมาธิยัดใส่อกให้เลย...มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นความคิด

เวลาคนเราถ้ามีความโลภ ความโลภแล้วมีความหลง ความหลงนี้เป็นพื้นฐานเลยนะ มันหลงในอะไรน่ะ เราศึกษาสิ่งใดมาเราก็ลุ่มหลงสิ่งนั้น เพราะเราศึกษามาด้วยสติปัญญาใช่ไหมว่าสิ่งนั้นมีคุณค่าๆ เราก็ลุ่มหลงสิ่งนั้น ยังทำสิ่งนั้นไม่ได้เป็นความจริงขึ้นมาไง แต่ใครมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะทำสิ่งนั้นขึ้นมาในหัวใจ อันนั้นไม่ใช่ลุ่มหลง อันนั้นเป็นความจริง แล้วความจริงกับความที่เราจินตนาการไว้เราคาดหมายไว้ มันจะเป็นอันเดียวกันไหม ถ้าเป็นอันเดียวกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พูดไว้ “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วมันมีความคาดหมายและด้นเดา การคาดหมาย การคาดหมายว่าเราเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่เวลาอธิษฐานบารมี คนที่อธิษฐานเขามีเป้าหมาย คำว่า “เป้าหมาย” ไม่ใช่คาดหมาย เป้าหมายของเรา เรามีเป้าหมายของเราจะไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพราะเป้าหมายมันสูงสุด สูงสุดคือการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันถึงที่สุดแล้วมันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วเราไปถึงเป้าหมายนั้น

คนเราไปถึงเป้าหมายนั้นแล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย กับคนที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดไป อารมณ์ความรู้สึกมันจะแตกต่างกันอย่างใด แต่คนถ้าไปถึงเป้าหมายแล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไปอยู่อย่างไรล่ะ มันไปอยู่ของมันอย่างนั้น ถ้าไปอยู่ของมันอย่างนั้น นี่วิมุตติสุขๆ ไง สุขเหนือโลกไง ถ้าเหนือโลกขึ้นมา อธิบายไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าอธิบายได้ พุทธวิสัย ปัญญาเลอเลิศขนาดนั้น ท่านเพียงแต่เป็นตัวอย่าง ท่านเทียบเคียงเป็นตัวอย่าง แล้วเราก็เอาตัวอย่างนั้นน่ะ

เวลาใครประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “นิพพานมันคืออะไร”

“อายตนะนิพพาน อายตนะนิพพานไปเลย”

อายตนะเป็นนิพพานได้อย่างไร อายตนะก็เป็นอายตนะ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กายมันเป็นนิพพานได้อย่างไร มันเป็นธาตุ มันเป็นนิพพานไปไม่ได้หรอก แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เวลาเขาไปถามว่าพระอรหันต์อยู่กันได้อย่างไร

ก็อายตนะนิพพาน เพราะจิตมันเป็นธรรมธาตุ แต่ในเมื่อมันยังมีสิ่งที่มีอยู่ วิมุตติสุขที่มันสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้ว แต่คนเราสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม มันก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายไง เราก็มีตา พระอรหันต์ก็มีตา เราก็มีตา แต่ตาของเรามันตากิเลส ตาขี้โลภ ตาขี้หลง แต่ตาของพระอรหันต์ อายตนะนิพพาน มันนิพพานที่ในสัจธรรมอันนั้น แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านมีคุณธรรมอันนั้นท่านถึงพูดไง เวลาพูดท่านพูดเพื่อความเข้าใจ แต่ไอ้คนไปจับมา พออายตนะนิพพานนี่เอาเลย ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นนิพพาน...มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อเป็นแร่ธาตุ มันเป็นธาตุ มันเป็นธาตุแล้วมันจะเป็นนิพพานได้อย่างไรล่ะ

แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นเพราะจิตใจของท่านเป็นธรรมธาตุ จิตใจของท่านเป็นนิพพาน แล้วท่านอยู่ของท่านอย่างนั้น คนที่ภาวนาแล้ว ถ้าพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ก็องค์เดียว องค์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นแหละ แต่มันเข้าใจเหมือนกันไง แต่ถ้ามันคนละองค์ มันเข้าใจไม่เหมือนกัน อายตนะนิพพานมันก็เอาเลย “อายตนะนิพพาน ความรู้สึกเป็นนิพพาน”...นิพพานได้อย่างไรในเมื่ออวิชชามันครอบงำอยู่

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีเศษส่วน เศษส่วนมันก็ของทิ้ง มันไม่มีค่า ขันธ์ ๕ เป็นภาระ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นภาระ เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่เพราะเกิดมามีชีวิต เกิดมามีชีวิตมีคุณค่า ปฏิสนธิจิตปฏิสนธิมาเกิดเป็นเรา พอเกิดเป็นเราขึ้นมา พ่อแม่เลี้ยงดูเติบโตมา เติบโตมีการศึกษามา ศึกษามาแล้วสนใจในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงสัจธรรม สัจธรรมคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เราแสวงหาเราก็คาดหมายเลยนะ “โอ้โฮ! เป็นคนดี ทำสัมมาอาชีวะ เป็นคนที่สร้าง เป็นรัฐบุรุษทำคุณงามความดีกับโลก โอ๋ย! ใหญ่โตมหาศาล”...นั่นล่ะโลกๆ ทั้งนั้นแหละ สัมมาอาชีวะ

สัมมาอาชีวะนะ เวลาหัวใจมันทุกข์มันยาก มันเสวยอารมณ์ มันคิดเรื่องความทุกข์ความยาก ถ้าหัวใจมันคิดเรื่องสัจธรรม สัจธรรมมันก็เป็นความดี มันเป็นความดี ความดี เราเกิดมาเราเข้าใจ เข้าใจเรื่องสัจจะ เข้าใจเรื่องชีวิต เราเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ตายเปล่า เห็นไหม สิ่งที่สัมมาอาชีวะไง สัมมาอาชีวะถ้ามันเกิดมรรคเกิดผล นั่นล่ะมรรคผลจะมีคุณค่า ถ้ามรรคผลมีคุณค่าขึ้นมา มรรคผลมันเกิดมาจากไหนล่ะ

คนเราทำหน้าที่การงานขึ้นมามันก็มีผลตอบแทนทั้งนั้นแหละ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติจะมีสติ มีคำบริกรรม ผลตอบแทนมันก็คือสัมมาสมาธิ คือสมถะ การปฏิบัติทุกแนวทางที่ว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ จะเป็นผู้ที่ใช้ปัญญาขนาดไหน มันลงตรงนี้หมดแหละ มันลงที่สมถะหมดเลย มันไม่มีหรอก ปัญญามันไม่มีๆ

ถ้ามันจะมีปัญญาขึ้นมา จิตมันสงบแล้ว เวลาจิตสงบนะ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นทุกข์ เห็นทุกข์เห็นอย่างไร เห็นทุกข์ เห็นการขยับของใจเป็นทุกข์ เราเห็นว่าผลของอารมณ์เป็นทุกข์ไง เราเห็นความคิดที่มันคิดมาแล้วไง เศร้าโศกเสียใจ มีความกระทบกระเทือนหัวใจแล้วก็ว่าทุกข์ๆๆ...ไอ้นั่นมันขี้ กิเลสมันขี้ถ่ายไว้บนหัวใจ

แต่เวลาจิตมันสงบแล้วมันเห็น มันเสวย มันขยับ พอขยับ ขยับก็คือทุกข์ ถ้ามันอยู่ของมันโดยสัจธรรมมันก็มีความสุข ขยับก็คือทุกข์ แล้วทุกข์เพราะอะไรล่ะ ทุกข์เพราะสมุทัยไง ตัณหาความทะยานอยากไง

สมุทัยควรละ ละอย่างไรล่ะ ถ้าละอย่างไร ถ้ามีสติมีปัญญา จิตสงบ มันเห็น มันจับได้ มันวิปัสสนา นี่มันละด้วยมรรค ถ้าละด้วยมรรคนะ พอละด้วยมรรค ด้วยสัจจะความจริง มันก็เกิดนิโรธ นิโรธคืออะไร? นิโรธคือความเข้าใจทะลุปรุโปร่ง รู้แจ้ง

นี่ไง ถ้ามันมีสติปัญญา มันมีการกระทำขึ้นไป ปัญญามันเกิดตรงนี้ไง แนวทางปฏิบัติทางใดก็แล้วแต่ ผลของมันเป็นสมถะหมด ถ้าสมถะเพราะมันมีสติมีปัญญานะ มันถึงเป็นสัมมา ถ้ามันขาดสติ มันมีแต่ความลุ่มหลง มันมีแต่ความเพ้อเจ้อเพ้อฝัน มันเป็นมิจฉา มิจฉาเพราะความเข้าใจผิดไง เพราะมันมิจฉาไง “ว่างๆ โอ๋ย! พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะเป็นความว่าง”...มิจฉาทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร เพราะความว่าง อวกาศมันก็ว่าง ในบ้านที่ไม่มีคนอยู่มันก็ว่าง เพราะอะไร เพราะมันไม่มีจิตไง ไม่มีธาตุรู้ ไม่มีปฏิสนธิจิตไง ความว่างอันนั้นเป็นประโยชน์กับใครล่ะ นี่ก็เหมือนกัน “ว่างๆ ว่างๆ” แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ สติเอ็งไปไหน คำบริกรรมเอ็งไปไหน

ถ้ามีสติปัญญา ว่างๆ อ้าว! ว่าง ฉันก็เป็นคนทำให้ว่าง เออ! สติก็เป็นคนกำหนดนี่ไง อ้าว! แล้วถ้ามันคลายออกมา คลายออกมาก็ทุกข์ไง แล้วทำอย่างไรให้มันดีขึ้นล่ะ ดีขึ้นก็ต้องทำชำนาญในวสีไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง ถ้ามันไม่มีเหตุ เอาผลมาจากไหนล่ะ เราอ้อนวอนขอเอาใช่ไหม เราอ้อนวอนให้มันมาเกิดเองใช่ไหม

เรามาทำบุญกุศลเพราะเหตุใด เรามาทำบุญกุศลเพราะเรามีปัญญา เรามีปัญญานะ เราขวนขวายนะ ดูสิ เราขวนขวายหาปัจจัยเครื่องอาศัยมา สิ่งในโลกนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิต เราหามาเพื่อเป็นสมบัติของเรา แล้วเรามีสติมีปัญญา เราอยากเสียสละ เสียสละเพื่อชีวิต สละ เห็นไหม ปัจจัย ๔ เป็นเครื่องดำรงชีวิต เสียสละนี้เพื่อดำรงชีวิต ผู้มีศีลได้ใช้ปัจจัยนี้เพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม เราก็มีชีวิตอยู่ เราก็แสวงหามาเป็นความทุกข์ของเรา แต่เราเสียสละขึ้นมาเพื่ออำนาจวาสนาบารมีของเรา ถ้าเราเสียสละเพื่ออำนาจวาสนาบารมีของเรา นี่เสียสละทาน

ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเราเสียสละทาน เราเป็นผู้เสียสละ เราเป็นผู้ที่มีศักยภาพ เราเป็นผู้ที่มีสติปัญญาสามารถกระทำได้ เราไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยเสียขา ได้สิ่งใดมาก็จะมาสะสมไว้ กอดไว้ให้มันเน่าให้มันเสีย ของสมบัตินี้เป็นสมบัติประจำโลก เพราะเรามีสติมีปัญญาสมบัตินี้มันถึงมีคุณค่า มันมีคุณค่า เราเสียสละขึ้นมาเพื่อหัวใจของเรา เราเสียสละขึ้นมาเพื่อความตระหนี่ถี่เหนียว ความตระหนี่ถี่เหนียว จิตใจมันก็ยอมรับความเห็นต่างใช่ไหม จิตใจที่มันยอมรับความเห็นต่าง ใครจะพูดอะไรก็ได้ ใครจะพูดสิ่งใดก็ได้ มันเป็นความเห็นของเขา ถ้าความเห็นของเขาบวกด้วยทิฏฐิมานะของเขา บวกด้วยอวิชชาของเขา พระพุทธเจ้าของเอ็งก็องค์หนึ่งไง องค์กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง องค์ของมารนั่นไง องค์ของพญามารที่มันครอบงำอยู่นั่นไง แต่ถ้าพระพุทธเจ้าของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจนี้ไง

เรามีสติมีปัญญา เราทำบุญกุศลแล้วสิ่งนี้เป็นทาน ทาน ศีล ภาวนา สิ่งนี้เป็นอามิสนะ มันเป็นคุณประโยชน์กับเรานะ เราเสียสละเป็นสมบัติ ออกจากบ้านมามีสมบัติพร้อมที่จะเดินทางตลอดเวลา มีสมบัติที่จะเป็นเครื่องอยู่อาศัย เราจะมีความสุขของเรา ถึงเราจะเดินทางเราก็ไม่ทุกข์ยากจนเกินไป

ออกจากบ้านมาตัวเปล่าๆ ออกจากบ้านมาไม่มีสมบัติสิ่งใดเลย จะไปพักที่ไหนก็เป็นคนไร้บ้าน นอนกลางดิน กินกลางทรายเพราะเราไม่ได้ทำสิ่งใดของเรามา ถ้าเราทำของเรามา เรามีที่พักที่อาศัยของเราไปพร้อม

คนโดยพื้นฐานเขาบอกทำบุญกุศลเพื่อไว้อนาคตเขาจะได้มีกินมีใช้ของเขา เขาคิดของเขาอย่างนี้คนก็ไปดูถูก ดูถูกว่า “ภพชาติมันจะมีหรือ ทำไปเอ็งจะได้จริงหรือ”

เขาจะได้จริงหรือไม่ได้จริง เขาได้ทิพย์สมบัติในใจของเขา ใครได้เสียสละ ใครได้ทำของเขาแล้วเขาจะฝึกหัดใจของเขา ทิพย์สมบัติอันนั้น เพราะเป็นเทวดา อินทร์ พรหมเขากินวิญญาณาหาร วิญญาณาหารคือความรู้สึกอันนั้น ความรู้สึกอันนั้นมันฝังกับใจอันนั้นไปเป็นสมบัติของเขา ไม่มีใครสามารถขโมยได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ นั้นเป็นสมบัติของเขา นั่นระดับของทานใช่ไหม แต่มันต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม เราถึงพยายามมาศึกษาเล่าเรียนของเราเพื่อจะทำสัมมาสมาธิใช่ไหม

แม้แต่เรื่องการเสียสละทาน เรามาเสียสละทานกันอย่างนี้ คนเขาเห็นเขาบอกว่า “เออ! พวกนี้ไม่มีปัญญาเนาะ หามาไม่รู้จักกินไม่รู้จักใช้ เอามาเสียสละ” เห็นไหม เขายังคิดไม่เป็น เวลาเราเสียสละของเรา เราเสียสละเพื่อเจตนาของเรา เราเสียสละเพราะมีปัญญา เราไม่ได้เสียสละเพราะโง่ๆ เราไม่ได้เสียสละเพราะว่าเราไม่รู้เรื่องสิ่งใด เราเสียสละเพราะเรามีปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะมีสติมีปัญญา เราจะกำหนดสัมมาสมาธิ

เวลาเราจะกำหนดพุทโธเพื่อดำรงให้จิตมันตั้งมั่น ถ้าจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้วปัญญามันเกิดขึ้นมา นั่นอัตตสมบัติ สิ่งที่เวลาเราเสียสละมันเป็นทิพย์ๆ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญาเกิดกลางหัวใจ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา นั่นล่ะถึงจะเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สัญญา ไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่การค้นคว้าไตร่ตรองอย่างนั้น นั่นเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาคือเกิดจากจิต โลกียปัญญาเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ ภพอันนี้มันมีอวิชชาครอบงำมันอยู่ เวลาออกมา อวิชชามันเลยพาใช้ไง มันเลยเป็นปัญญาของกิเลสไง

เราพุทโธๆๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ กิเลสมันสงบตัวลง กิเลสสงบตัวลงมันถึงเกิดสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือมันแจ่มแจ้งกลางหัวใจ สัมมาสมาธิคือจิตที่มันแจ่มแจ้ง ที่มันปล่อยวาง ที่มันเป็นอิสระ พออิสระ มันไม่มีอวิชชาชักนำ ไม่มีสมุทัยคอยโน้มนำให้มันคิดตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

เวลาเราทำความสงบของใจ เราทำความสงบของเราได้บ้าง มีกำลังได้บ้าง แต่อวิชชาสมุทัยมันยังเจือปนมา มันไปรู้ไปเห็นอะไรมันว่ามันรู้ๆๆ รู้แล้วถามทุกที รู้แล้วทำไมมันไม่รู้แจ้งล่ะ

มันจะรู้อย่างไรปล่อยวางไว้ก่อน เราปล่อยวางไว้ก่อนนะ รู้สิ่งใดให้ละให้วางไว้ เพราะเรามาทำเพื่อความสงบระงับ เรามาทำเพื่อกำลัง จะรู้อะไร วาง อย่าอยากรู้ อยากรู้นั่นมันหญ้าปากคอก กิเลสมันเอามาล่อ กิเลสมันเอาความรู้ความเห็นมาล่อ โอ๋ย! พอมันรู้อะไรก็ตื่นเต้น เวลารู้มันมีรสชาติไง เวลาภาวนามันจะขนลุกขนพอง ถ้าขนลุกขนพองแล้วเราก็ว่า “อู๋ย! เราแจ่มแจ้ง”

กิเลสหญ้าปากคอก กิเลสมันเอามาล่อ มันมาล่อไม่ให้เราเข้าไปลึกลับกว่านี้ ล่อไม่ให้เราเข้าไปสู่สัมมาสมาธิ มันล่อเราไม่ให้เข้าไปสู่ตัวมันไง เข้าไปสู่ภวาสวะ เข้าไปสู่ภพ สัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วจิตฝึกหัด น้อมไปให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง การเห็นนั่นน่ะ เพราะกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสนี้เป็นนามธรรม ความรู้สึกนี้เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันทำอะไรได้ไหม

ดูสิ นักบริหารเขาจะจัดการอย่างไร เขาต้องมีนโยบายใช่ไหม แล้วเขาใช้คนอื่นทำ กิเลสก็เหมือนกัน มันเป็นนามธรรม มันเกิดดับๆ ในหัวใจ แล้วมันก็อยากได้อยากดี อยากข่มขี่หัวใจ มันก็หลอกๆๆ หลอกให้ใจมันทำไง ให้คิดเรื่องนั้น “โอ๋ย! ไอ้นั่นดี ไอ้นู่นดี ไอ้นี่ดี”...ไปแล้ว

อย่าเพิ่งเชื่อ ละวางเพื่อความมั่นคง พอความมั่นคงแล้วถ้าเราไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม สิ่งที่กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นเครื่องมือของกิเลส กิเลสอาศัยพวกนี้แสดงตัว อาศัยพวกนี้ไปหาเหยื่อ อาศัยพวกนี้ไปทำสิ่งที่มันพอใจ แล้วเราวิปัสสนาสิ่งนี้เป็นไตรลักษณ์ กิเลสมันไม่มีเครื่องมือใช้ มันจะเข้าไปทำลายถึงตัวมัน ถ้าเข้าไปทำลายถึงตัวมัน นี้คือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอกย้ำแล้วตอกย้ำอีก ตอกย้ำแล้วตอกย้ำอีก แต่เวลาเราไปศึกษาค้นคว้า พอเราแค่พยับแดด โอ๋ย! เราตื่นเต้น เรารู้ เราเก่ง...รู้ เก่ง ล้มทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราพยายามตั้งสติไว้ แล้วค้นคว้าของเราไป ไปข้างหน้าเราจะเห็นเลยนะ อ๋อๆๆ ไป ถ้าอ๋อๆ ไป นี่คือผลงานของเรา แล้วทำของเรา เราจะทำใจของเราให้ประเสริฐ

นี่พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญาไปแล้ว เวลาอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ อริยสัจเป็นกิริยา เป็นวิธีการเข้าไปสู่สัจจะ เวลาเข้าไปสู่สัจจะ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ เราไม่ได้แบกอริยสัจ ไม่ได้แบกมรรคไปอวดใคร ไม่ได้แบกสัมมาสมาธิไปอวดใคร เราไม่ได้แบกไปอวดใคร

พอถึงที่สุดแล้วนะ มันทำลายกันแล้วนะ มันกลมกลืนไปหมด มันจะไม่มีสิ่งใดตกค้างในหัวใจเลย เกิดอกุปปธรรม ธรรมะที่เป็นสัจจะที่เป็นความจริง ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อันนี้เป็นกุปปธรรม-อกุปปธรรม อกุปปธรรมจะคงที่ในหัวใจของเรา ที่เราแสวงหานี้เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง